เริ่มต้นด้วยการตั้งปณิธานว่า “ต้องเก่งภาษาอังกฤษให้ได้” เพราะพอไปเที่ยวต่างประเทศทีไรเป็นง่อยทุกที ใบ้สนิทเลยจ้า พูดได้แค่ yes กับ no ตอนสั่งอาหารนี่แทบจะชี้เมนูแล้วส่งเสียงอู้ฮู้แทน
สมัครคอร์สตัวต่อตัวแบบไม่คิดชีวิต
- ครูฝรั่งหน้าใหม่ : เลือกครูเจ้าของภาษาจากแอพสอนภาษา กดๆ ตามรีวิว ปรากฏว่าเจออาจารย์สาวสัญชาติอเมริกัน พูดเร็วเหมือนผีดิบไล่จับ!
- สัปดาห์แรกหัวแทบระเบิด : แค่ทักทายก็งงแล้ว “How are you doing?” คือต้องตอบยังไงวะ นึกไม่ออกเลยสวนกลับไปว่า “I eat rice already” ครูขำกรึ๊บ แถมถามต่อ “You full?” นี่มันจะสอนภาษาหรือสอนช้อปปิ้งฟ้า
- บังคับให้ตัวเองฟังวันละ 1 ชม. : เปิดการ์ตูน Peppa Pig ให้音量สุดเพดาน แม่บ้านวิ่งมาด่าที่ห้องดังเกิน กลายเป็นฝึกภาษาจากเสียงแม่บ้านซะงั้น
ดัดนิสัยตัวเองแบบทรหด
แชทฝรั่งแบบไม่กลัวผิด : เดินเข้าร้านกาแฟเจอฝรั่งนั่งทำงาน เล่นบ๊องส์เดินไปชวนคุย “Can I sit.. noodle? No! Sit here?” เค้าทะลึ่งหัวเราะแล้วยิ้มดีใจนี่คือฝันเป็นจริงเลย
ติดสคริปต์บนกระจกห้องน้ำ : เขียนประโยค “Please pass the fish sauce” กับ “Can you speak slower?” แปะไว้หน้าอ่างล้างหน้า แม่ถามว่าบ้าไปแล้วเหรอ จะพูดประโยคนี้ตอนอาบน้ำทำไม
ผลลัพธ์เซอร์ไพรส์
- สองเดือนแรก : เกร็งเหมือนหุ่นยนต์ เห็นฝรั่งแล้วไข้ขึ้น แต่คุยได้ 30 นาทีไม่หนีแล้ว!
- สี่เดือนผ่านไป : เลิกท่องแกรมม่าแบบตำรา เริ่มพูดคำผสมทับศัพท์ไทย “เดี๋ยวก่อนนะ อาจารย์ late เพราะ traffic หนักมาก” ครูร้องว้าวทำนองว่าเข้าใจนะเว้ย
- ข้อได้เปรียบที่ไม่คิดมาก่อน : ฟังเพลง Tiktok ฝรั่งรู้เรื่อง สั่งซื้อของนอกไม่ต้องพึ่งเพื่อน แล้วก็… แกล้งโง่เวลาต้องเจรจากับเซลล์ขายประกัน สมูทมาก!
สรุปแล้ว : มันเหนื่อยเนอะ แต่ดูซีรีย์ฝรั่งไม่ต้องคอยอ่านซับแล้วคือดีใจสุดๆ ถึงจะเพี้ยนบ้างตอนพูด (“I very delicious your food” นี้คือคำชมรึเปล่าวะ) แต่ฝรั่งเขาปรับใจเขากันไม่เกี่ยง ถ้าเจอครูใจดีเหมือนครูเรา บอกเลยคุ้มกว่าเรียนกับคนไทยที่สอนแต่ข้อสอบ!