การสอบ TOEIC เป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวางในฐานะเครื่องมือประเมินทักษะภาษาอังกฤษสำหรับการทำงานในระดับสากล คำถามที่ผู้เตรียมตัวสอบมักสงสัยอยู่เสมอก็คือ “ฉันควรตั้งเป้าคะแนน TOEIC เท่าไหร่?” และ “ETS คิดคะแนนอย่างไร?” ซึ่งเป็นความสงสัยที่มีเหตุผลและสำคัญต่อการวางแผนเตรียมตัวให้ถูกทิศทาง
ระบบการคิดคะแนน TOEIC: ความเข้าใจเบื้องต้น
ข้อสอบ TOEIC (Test of English for International Communication) มี 2 ส่วนหลัก คือ การฟัง (Listening Comprehension) และการอ่าน (Reading Comprehension) ส่วนละ 100 คำถาม รวมทั้งหมด 200 คำถาม คะแนนเต็มของทั้งสองส่วนรวมกันคือ 990 คะแนน โดยคะแนนจะถูกแปลงแล้วจากจำนวนข้อที่ตอบถูก (Raw Score) เป็นคะแนนที่ปรับแล้ว (Scaled Score) ในช่วง 5 ถึง 495 คะแนนต่อส่วน แล้วนำมารวมกัน
- คะแนนไม่ใช่แบบง่ายต่อข้อ: ไม่ใช่การนำจำนวนข้อที่ถูกหารด้วยจำนวนข้อทั้งหมดแล้วคูณด้วยคะแนนเต็ม ETS ใช้วิธีการทางสถิติที่ซับซ้อนในการแปลงคะแนนดิบ เพื่อรักษาความเที่ยงตรง (Reliability) และความยุติธรรม (Fairness) ของการทดสอบตลอดระยะเวลาที่ข้อสอบถูกนำมาใช้ในรูปแบบต่างๆ
- ความยากของชุดข้อสอบ: การแปลงคะแนนนี้ยังคำนึงถึงระดับความยากง่ายของข้อสอบแต่ละชุดที่แตกต่างกันเล็กน้อยในแต่ละรอบสอบ ผู้เข้าสอบที่ทำคะแนนดิบเท่ากันในชุดข้อสอบที่ยากต่างกัน อาจได้คะแนนที่ปรับแล้วแตกต่างกันออกไปเล็กน้อย เพื่อให้คะแนนสะท้อนระดับความสามารถที่แท้จริงมากที่สุด
- เป้าหมายคือความเที่ยงตรง: ระบบนี้ช่วยให้คะแนน TOEIC ที่ได้จากการสอบในครั้งและสถานที่ต่างๆ มีความน่าเชื่อถือและเปรียบเทียบกันได้ ทำให้องค์กรต่างๆ สามารถนำคะแนนไปใช้เป็นเกณฑ์วัดได้อย่างมั่นใจ
คะแนนเป้าหมายควรอยู่ที่เท่าไร? ขึ้นอยู่กับจุดประสงค์
การกำหนดคะแนน TOEIC ที่ “ควรได้” นั้น ไม่ได้มีคำตอบที่ตายตัวเพียงข้อเดียว แต่ควรพิจารณาจากวัตถุประสงค์และความต้องการเฉพาะของผู้สอบเป็นหลัก:
- สำหรับการสมัครงานระดับเริ่มต้นทั่วไปในไทย: โดยทั่วไป หลายบริษัทมักกำหนดเกณฑ์ขั้นต่ำเริ่มต้นที่ ประมาณ 550 – 650 คะแนน การได้คะแนนในระดับนี้แสดงถึงความสามารถพื้นฐานในการสื่อสารภาษาอังกฤษในบริบทการทำงานที่ไม่ซับซ้อนเกินไป
- สำหรับตำแหน่งที่ต้องใช้ภาษาอังกฤษบ่อยครั้ง: เช่น เจ้าหน้าที่ฝ่ายขายต่างประเทศ พนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน พนักงานต้อนรับส่วนหน้าของโรงแรมระดับนานาชาติ หรือตำแหน่งในบริษัทข้ามชาติ อาจต้องการคะแนน ตั้งแต่ 700 ขึ้นไป และหลายแห่งต้องการเกิน 800 คะแนน คะแนนระดับนี้แสดงถึงความสามารถในการสื่อสารที่คล่องแคล่วและเข้าใจสาระสำคัญในสถานการณ์การทำงานที่หลากหลาย
- สำหรับการเลื่อนตำแหน่ง/การสมัครงานระดับสูง: ตำแหน่งผู้จัดการ หรือผู้บริหารที่ต้องสื่อสารและต่อรองระดับสูงกับชาวต่างชาติบ่อยครั้ง อาจต้องการคะแนน ในระดับ 850 คะแนนขึ้นไปจนถึง 900+ คะแนน เพื่อแสดงถึงความเชี่ยวชาญและความแม่นยำในการใช้ภาษา
- สำหรับการศึกษาต่อ: สถาบันการศึกษาบางแห่งทั้งในและต่างประเทศอาจใช้คะแนน TOEIC เป็นส่วนหนึ่งของเกณฑ์การสมัคร โดยมักกำหนด ตั้งแต่ 600 – 750 คะแนน ขึ้นไป ควรตรวจสอบเกณฑ์ของสถาบันเป้าหมายให้ชัดเจน
นอกจากนี้ การตั้งเป้าหมายควรดูจากพื้นฐานความสามารถในปัจจุบันของผู้สอบด้วย การทดลองทำข้อสอบเพื่อวัดจุดเริ่มต้นจะช่วยกำหนดเป้าหมายที่ท้าทายแต่เป็นไปได้ และวางแผนระยะเวลาการเตรียมตัวได้อย่างเหมาะสม โดยการพัฒนาทักษะแต่ละระดับ อาจใช้เวลาและความพยายามที่ต่างกันไป
หัวใจสำคัญคือการพัฒนาความสามารถที่แท้จริง
ในขณะที่การเข้าใจระบบการให้คะแนนและเกณฑ์ขององค์กรต่างๆ เป็นสิ่งสำคัญ แต่ก็ไม่ควรจมอยู่กับเพียงการทำข้อสอบให้ได้คะแนนสูงสุดอย่างเดียว เป้าหมายหลักที่แท้จริงของการเตรียมตัวสอบ TOEIC คือ การพัฒนาทักษะการฟังและอ่านภาษาอังกฤษที่ใช้ได้จริงในชีวิตการทำงาน
- เน้นความเข้าใจบริบท: การฝึกฟังบทสนทนาในสำนักงาน การประชุม รายงานข่าวทางธุรกิจ และการอ่านคู่มือ อีเมล รายงานต่างๆ ให้ครบถ้วน ชัดเจน จะช่วยเพิ่มคะแนนได้อย่างยั่งยืน
- การเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง: การฝึกฝนทักษะภาษาต้องอาศัยความสม่ำเสมอ การทำข้อสอบตัวอย่าง (Practice Test) เป็นระยะจะช่วยวัดจุดอ่อนให้เห็นชัด แต่การเรียนรวบรวมคำศัพท์เฉพาะทางและฝึกใช้โครงสร้างประโยคอย่างถูกต้องเป็นรากฐานที่สำคัญ
การได้คะแนน TOEIC ในระดับที่เหมาะกับเป้าหมายของคุณ ไม่เพียงเปิดประตูสู่โอกาสใหม่ๆ เท่านั้น แต่ยังเป็นการการันตีทักษะภาษาอังกฤษเชิงธุรกิจที่มีประโยชน์ยืดยาวต่อการพัฒนาด้านอาชีพ ดังนั้น การตั้งเป้าหมายที่ชัดเจน ควบคู่ไปกับการทุ่มเทพัฒนาทักษะภาษาจริง ย่อมนำไปสู่ผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจทั้งในวันสอบและในการทำงานจริงในอนาคต