การพัฒนาทักษะการอ่านเป็นกระบวนการที่ต้องอาศัยความต่อเนื่องและการเลือกทรัพยากรที่เหมาะสม โดยเฉพาะหนังสือฝึกอ่าน ซึ่งเป็นเครื่องมือหลัก ผู้ที่เริ่มต้นหรือต้องการพัฒนามักพบคำถามสำคัญคือ ควรเลือกหนังสือที่ยากระดับไหนจึงจะได้ผลดีที่สุด การเลือกหนังสือที่ยากเกินไปอาจทำให้ท้อถอย ขณะที่หนังสือง่ายเกินไปก็อาจไม่กระตุ้นการพัฒนาอย่างที่ควร
ระดับที่ 1: เหมาะสมกับนักอ่านมือใหม่
ผู้ที่อยู่ในระดับเริ่มต้น มักมีคลังคำศัพท์พื้นฐานจำกัด และยังไม่คุ้นเคยกับโครงสร้างประโยคที่ซับซ้อนนัก หนังสือฝึกอ่านในระดับนี้ควรมีลักษณะเฉพาะดังนี้
- คำศัพท์พื้นฐานและใช้บ่อย: เน้นคำศัพท์ในชีวิตประจำวันและคำที่พบบ่อยในบริบททั่วไป ไม่เน้นศัพท์เทคนิคหรือศัพท์ระดับสูงเกินไป
- ประโยคสั้น เรียบง่าย: โครงสร้างประโยคตรงไปตรงมา ใช้ไวยากรณ์พื้นฐาน ไม่ซับซ้อน เช่น ประโยคความเดียว เป็นหลัก
- หัวข้อใกล้ตัว: เนื้อหาเกี่ยวกับกิจวัตรประจำวัน ความสนใจทั่วไป หรือเรื่องเล่าสั้นๆ ที่เข้าใจไม่ยาก เช่น การทักทาย ครอบครัว อาหาร สถานที่
- ภาพประกอบชัดเจน: การมีรูปภาพหรือไดอะแกรมช่วยประกอบ ช่วยให้เข้าใจเนื้อหาได้ง่ายและรวดเร็วขึ้น เป็นการลดแรงกดดันในการอ่าน
เป้าหมายหลักของระดับนี้คือการสร้างความมั่นใจ เพิ่มคลังคำศัพท์หลัก และให้เข้าใจแก่นของประโยคพื้นฐานได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ การอ่านหนังสือที่ยากพอดีกับทักษะจะทำให้ผู้เรียนรู้สึกถึงความก้าวหน้า ไม่รู้สึกหนักจนเกินไป
ระดับที่ 2: เหมาะสมกับนักอ่านระดับกลาง
เมื่อผ่านพ้นขั้นพื้นฐานมาแล้ว ผู้เรียนจะต้องการความท้าทายมากขึ้นเพื่อยกระดับความสามารถ หนังสือสำหรับระดับกลางควรมีลักษณะดังต่อไปนี้
- คำศัพท์หลากหลายขึ้น: มีคำศัพท์ระดับที่กว้างขึ้น รวมถึงคำที่มีความหมายเชิงนามธรรม บางครั้งอาจมีคำศัพท์เฉพาะทางในหัวข้อนั้นๆ พร้อมบริบทช่วยการเดาความหมาย
- โครงสร้างประโยคซับซ้อน: เริ่มมีประโยคความรวม เช่น ประโยคเงื่อนไข หรือการใช้ subordinate clauses ทำให้ต้องฝึกการทำความเข้าใจความสัมพันธ์ของไอเดียในประโยค
- เนื้อหาเชิงสาระและความคิด: หัวข้อมีความลึกซึ้งขึ้น อาจเป็นเรื่องสั้น เรื่องราวทางวัฒนธรรม บทความทั่วไปเกี่ยวกับสังคม วิทยาศาสตร์เบื้องต้น หรือการแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวที่มีรายละเอียด
- ความยาวเพิ่มขึ้นเล็กน้อย: ย่อหน้าหรือบทความอาจมีความยาวมากกว่าหนังสือระดับเริ่มต้น แต่ยังคงแบ่งส่วนชัดเจน ไม่ยาวเวิ่นเว้อจนเกินไป
เป้าหมายของระดับนี้คือการพัฒนาความเข้าใจในการอ่านให้ลึกซึ้งขึ้น สามารถจับใจความสำคัญ ตีความ สรุปความ และอนุมานข้อมูลจากบริบทได้ รวมถึงสามารถจัดการกับคำศัพท์ที่ไม่คุ้นเคยโดยใช้กลยุทธ์การเดาความหมาย (inferencing) ได้ดียิ่งขึ้น
ระดับที่ 3: เหมาะสมกับนักอ่านระดับสูง
เมื่อทักษะการอ่านก้าวหน้าไปมากแล้ว ผู้เรียนจะต้องการทรัพยากรที่สะท้อนการใช้ภาษาจริงและมีความซับซ้อนสูง หนังสือระดับสูงควรมีลักษณะดังนี้
- คำศัพท์เฉพาะทางและศัพท์ระดับสูง: มีการใช้คำศัพท์ที่มีความหมายละเอียดอ่อน คำอุปมา อุปลักษณ์ (metaphors) รวมถึงศัพท์เทคนิคเฉพาะสาขา (เช่น เศรษฐกิจ กฎหมาย วรรณกรรม)
- ภาษาซับซ้อนและรูปแบบต่างๆ: ประโยคยาว มีการซ้อน clause หลายชั้น ไวยากรณ์ระดับสูง การใช้สำนวน โวหารทางภาษา และรูปแบบการเขียนที่หลากหลาย (เช่น บทความวิชาการ นวนิยายคลาสสิก บทความวิเคราะห์)
- เนื้อหาเชิงลึกและซับซ้อน: หัวข้อที่ต้องใช้การคิดวิเคราะห์ เช่น บทวิจารณ์สังคม งานวิจัยเบื้องต้น วรรณกรรมคลาสสิก บทความด้านปรัชญา หรือข่าวธุรกิจที่มีรายละเอียดยุ่งยาก
- การปราศจากภาพประกอบหรือการจัดรูปแบบพิเศษ: เน้นการทำความเข้าใจผ่านตัวอักษรเป็นหลัก คล้ายคลึงกับสื่อการอ่านจริงที่พบในชีวิตประจำวันหรือการศึกษา
เป้าหมายหลักของระดับนี้คือการพัฒนาความสามารถในการอ่านให้รวดเร็วและลึกซึ้ง สามารถวิเคราะห์ วิจารณ์ เชื่อมโยงความสัมพันธ์ของความคิดอย่างซับซ้อน และเข้าใจนัยยะที่ซ่อนอยู่ได้อย่างเต็มที่ รวมถึงสามารถอ่านเนื้อหาจริงได้อย่างคล่องแคล่ว
เลือกอย่างไรให้เหมาะกับตัวคุณ?
กุญแจสำคัญอยู่ที่การประเมินตนเองอย่างตรงไปตรงมา ไม่ควรเร่งระดับเร็วเกินไปแต่ก็ไม่ควรติดอยู่กับระดับเดิมนานเกินความจำเป็น เทคนิคง่ายๆ คือ “กฎ 5 คำที่ไม่รู้จักต่อหน้า (หรือหนึ่งย่อหน้า)” หากในหน้านั้น (หรือใน 1 ย่อหน้า) พบคำศัพท์ที่ไม่รู้จักมากกว่า 5 คำ หนังสือเล่มนี้อาจยากเกินไปสำหรับคุณในขณะนี้ ขณะเดียวกัน หากคุณรู้จักและเข้าใจทุกคำและทุกประโยคได้โดยไม่ต้องพยายามเลย นั่นอาจบ่งชี้ว่าเล่มนั้นง่ายเกินไป ไม่ท้าทายเพียงพอสำหรับการพัฒนา
สุดท้ายนี้ การทดลองอ่านสัก 1-2 หน้าเบื้องต้นมักให้คำตอบที่ดีที่สุดเกี่ยวกับความยากง่ายที่เหมาะสมกับทักษะในปัจจุบันของคุณได้ ความสม่ำเสมอในการอ่าน และความสุขที่ได้จากการเข้าใจเนื้อหาที่อ่านได้อย่างลื่นไหล คือองค์ประกอบสำคัญที่จะนำพาไปสู่การพัฒนาทักษะการอ่านได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน