สำหรับนักเรียนชั้น ม.4 ที่ประสบปัญหาการฟังภาษาอังกฤษไม่รู้เรื่อง แม้จะพยายามแล้วก็ตาม สถานการณ์นี้พบได้บ่อยและอาจสร้างความท้อแท้ได้ ไม่ต้องกังวลไป เพราะปัญหานี้มีทางแก้โดยการปรับเปลี่ยนวิธีการฝึกฝนและใช้กลยุทธ์ที่เหมาะสม ต่อไปนี้คือ 5 เทคนิคปฏิบัติได้จริงที่ได้รับการยอมรับว่าช่วยพัฒนาทักษะการฟังภาษาอังกฤษให้ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
1. สร้างสภาพแวดล้อมให้ “หู” คุ้นเคยกับภาษาอังกฤษทุกวัน
การได้ฟังภาษาอังกฤษแค่ในห้องเรียนนั้นไม่เพียงพอ สมองและหูต้องการความคุ้นชินเป็นประจำ ควรเพิ่มการรับฟังอย่างเป็นกิจวัตร โดยเริ่มจากสิ่งที่เข้าถึงง่ายและน่าสนใจ เช่น ฟังเพลงภาษาอังกฤษช้าๆ ดูรายการทีวีหรือภาพยนตร์ที่ชอบ โดยเปิดซับไตเติ้ลภาษาไทยก่อน แล้วค่อยเปลี่ยนเป็นซับไตเติ้ลภาษาอังกฤษเมื่อเริ่มชิน และสุดท้ายปิดซับไตเติ้ล เริ่มต้นวันละ 15-30 นาทีด้วยเนื้อหาที่ไม่ยากเกินไป จะช่วยให้ประสาทหูค่อยๆ ปรับตัวโดยไม่รู้สึกกดดัน
2. ฝึก “ฟังอย่างลึก” (Active Listening) แทนการฟังผ่านๆ
การเปิดเสียงภาษาอังกฤษเป็นพื้นหลังเพียงอย่างนึงอาจไม่ช่วยพัฒนาทักษะเท่าที่ควร การฝึกฟังเชิงลึกคือกุญแจสำคัญ เลือกเสียงสั้นๆ 1-2 นาที จากพอดแคสต์สำหรับผู้เรียน หรือบทสนทนาในหนังสือเรียน ฟังหลายๆ รอบ โดยแต่ละรอบให้มีจุดมุ่งหมายต่างกัน:
- รอบแรก: ฟังเพื่อจับใจความหลักว่าเรื่องเกี่ยวกับอะไร
- รอบต่อมา: ฟังจับรายละเอียด เช่น ชื่อคน สถานที่ ตัวเลข
- รอบสุดท้าย: เปิดสคริปต์ (ถ้ามี) ตามดูคำที่ฟังไม่ออก และสังเกตการออกเสียงเชื่อมคำ (connected speech)
3. ฝึกโฟกัสที่ “คำสำคัญ” ไม่ใช่พยายามฟังทุกคำ
หนึ่งในสาเหตุหลักที่ฟังไม่ทัน เพราะมัวแต่กังวลกับคำที่ไม่ได้ยินหรือไม่เข้าใจจนตามเนื้อหาต่อไปไม่ติด เปลี่ยนเป้าหมายจากการฟังทุกคำ มาเป็นการจับ Keyword หรือคำสำคัญ ที่เป็นหัวใจของประโยค ซึ่งมักจะเป็นคำนาม (เช่น apple, student, school) คำกริยา (go, study, eat) หรือคำแสดงความเห็น (good, difficult) คำเหล่านี้จะช่วยให้เข้าใจว่า “ใคร ทำอะไร ที่ไหน อย่างไร” แม้จะไม่ได้ยินทุกคำก็ตาม การฝึกนี้ลดความเครียดและช่วยเก็ตความหมายโดยรวมได้ดีขึ้น
4. เสริมทักษะการพูด เพื่อส่งผลถึงทักษะการฟัง
หลายคนอาจสงสัยว่าการพูดช่วยการฟังได้อย่างไร? ในความเป็นจริง การฝึกออกเสียงให้ถูกต้อง ช่วยให้เราจดจำและแยกแยะเสียงที่ได้ยินได้ง่ายขึ้น พยายามฝึกออกเสียงคำศัพท์ที่เรียนรู้ให้ถูกต้อง โดยใช้พจนานุกรมออนไลน์ฟังการออกเสียง เลียนแบบการเน้นหนักเบา (stress) และน้ำเสียง (intonation) ในประโยค การรู้ว่าคำๆ หนึ่งควรออกเสียงอย่างไร ช่วยให้เมื่อได้ยินเสียงที่คล้ายกัน สมองจะจดจำและจับคู่ได้เร็วขึ้น ส่งผลให้ฟังเข้าใจได้มากขึ้นนั่นเอง
5. ใช้สื่อการเรียนที่เหมาะกับระดับ และเพิ่มความยากทีละน้อย
การเลือกสื่อในการฝึกฟังที่ยากเกินไปตั้งแต่เริ่มต้นมักทำให้ท้อแท้ ควรเลือกสื่อการฝึกฟังที่เหมาะสมกับระดับความสามารถปัจจุบัน เริ่มต้นด้วยเนื้อหาสำหรับผู้เริ่มต้นหรือระดับ Pre-Intermediate โดยเน้นที่มีการพูดช้า ชัดเจน และใช้คำศัพท์ไม่ซับซ้อนมาก จากนั้นจึงค่อยๆ เพิ่มระดับความยาก เช่น เปลี่ยนจากการฟังที่เตรียมมาสำหรับผู้เรียน ไปสู่การฟังข่าวสั้นๆ สารคดี หรือบทสนทนาในชีวิตประจำวันจริง มีสื่อการเรียนและแอพพลิเคชั่นมากมายที่แยกระดับไว้อย่างชัดเจน การก้าวเดินทีละขั้นจะทำให้มั่นใจและเห็นพัฒนาการที่ยั่งยืน
การพัฒนาทักษะการฟังภาษาอังกฤษให้ดีขึ้นอย่างแท้จริงใช้เวลาและความสม่ำเสมอ ข้อสำคัญคืออย่าเพิ่งยอมแพ้เมื่อยังไม่คล่อง การนำเทคนิคทั้ง 5 ข้อนี้ คือ การฟังเป็นประจำทุกวัน ฝึกฟังเชิงลึก จับคำสำคัญ ฝึกออกเสียง และเลื่อนระดับความยากของสื่ออย่างเหมาะสม ไปใช้ปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง จะช่วยให้นักเรียนชั้น ม.4 หรือผู้ที่กำลังฝึกฝนสามารถผ่านพ้นช่วงเวลาฟังไม่รู้เรื่องไปได้ และค่อยๆ เปิดโลกทัศน์ใหม่ๆ ผ่านการสื่อสารด้วยภาษาอังกฤษได้อย่างมั่นใจมากขึ้นอย่างแน่นอน