การเรียนรู้ภาษาอังกฤษในยุคปัจจุบันไม่จำเป็นต้องนั่งท่องตำราเสมอไป การใช้แอปฟังเพลงกลายเป็นอีกหนึ่งตัวช่วยที่หลายคนมองข้าม ทั้งที่จริงๆ แล้วเป็นวิธีที่ได้ผลและน่าสนใจไม่น้อย สำหรับใครที่กำลังมองหาวิธีฝึกภาษาอังกฤษด้วยการฟังเพลง วันนี้มี 3 เทคนิคง่ายๆ ที่ทำตามได้ทันทีมาแนะนำ
1. เริ่มจากเพลงโปรด ค่อยๆ ฟังแบบไม่ต้องเครียด
ขั้นแรกสำคัญที่สุดคือการเลือกเพลงที่ชอบ เพราะจะทำให้มีแรงจูงใจในการฟังซ้ำๆ โดยไม่เบื่อ ไม่ควรเริ่มจากเพลงที่ยากหรือเร็วเกินไป ควรเลือกเพลงที่มีทำนองช้าๆ และคำร้องชัดเจน
เริ่มต้นด้วยการฟังแบบสบายๆ ไม่ต้องกดดันตัวเองว่าต้องเข้าใจทุกคำ เป้าหมายในขั้นนี้คือฝึกให้หูเคยชินกับเสียงภาษาอังกฤษ ฟังให้เพลินๆ พร้อมสังเกตการออกเสียง คำศัพท์ที่ขึ้นต้นหรือลงท้ายด้วยเสียงคล้ายๆ กัน หลังจากฟังไปสักพัก ผู้ใช้หลายคนพบว่าสมองจะเริ่มจับจังหวะและโครงสร้างประโยคได้เองโดยอัตโนมัติ
2. เปิดดูเนื้อเพลงพร้อมฝึกแปลคร่าวๆ
เมื่อเริ่มคุ้นเคยกับทำนองและเสียงร้องแล้ว ขั้นตอนต่อไปที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพคือการเปิดฟังก์ชันแสดงเนื้อเพลงซึ่งมีอยู่ในแอปฟังเพลงส่วนใหญ่ ฟังก์ชันนี้เป็นเครื่องมือชั้นดีที่จะช่วยให้เห็นคำศัพท์และการเรียบเรียงประโยคขณะที่ฟัง
- เลือกแปลทีละประโยคหรือท่อนฮุก ไม่จำเป็นต้องแปลทั้งเพลง
- เดาความหมายจากบริบท ก่อนเปิดดิกชันนารี
- จดศัพท์ใหม่หรือวลีน่าสนใจ ไว้ทบทวนภายหลัง
การทำแบบนี้ช่วยให้เข้าใจไม่เพียงแค่ความหมาย แต่ยังเห็นวิธีนำคำศัพท์มาใช้ในชีวิตจริงผ่านบทเพลง แถมยังช่วยเรื่องการเรียงคำในประโยค (Syntax) ได้อีกด้วย
3. ร้องตาม พร้อมฝึกออกเสียงเป๊ะ
หลังจากผ่านสองขั้นตอนมาแล้ว การร้องตามคือวิธีที่จะดึงศักยภาพการเรียนรู้ออกมาได้ดีที่สุด เมื่อฟังจนจำทำนองและเข้าใจเนื้อหาในระดับหนึ่งแล้ว ให้ลองร้องตามนักร้องไล่จากท่อนสั้นๆ ไปจนจบเพลง
ขั้นตอนนี้จะช่วยพัฒนาทักษะหลายด้านพร้อมกัน:
- การออกเสียง (Pronunciation) ให้ถูกต้องและเป็นธรรมชาติ
- จังหวะการพูด (Rhythm & Intonation) จังหวะเพลงช่วยให้จับจังหวะการเน้นคำในภาษาอังกฤษได้ง่ายขึ้น
- ความคล่องแคล่ว (Fluency) การร้องตามทำนองช่วยให้พูดเป็นประโยคต่อเนื่องโดยไม่สะดุด
เริ่มต้นด้วยการร้องช้าๆ แล้วค่อยเพิ่มความเร็วจนเท่าทำนองเดิม และไม่ต้องกังวลหากเสียงไม่เพราะ เพราะนี่คือการฝึก ไม่ใช่การประกวดร้องเพลง
การฝึกภาษาอังกฤษผ่านแอปฟังเพลงที่หลายคนใช้อยู่เป็นประจำอยู่แล้วนี้ เป็นวิธีที่ไม่สร้างภาระเพิ่มเติมแต่อย่างใด แถมยังสนุกและทำได้ทุกที่ทุกเวลา ไม่ว่าจะเป็นระหว่างเดินทาง ออกกำลังกาย หรือทำงานบ้าน ประสิทธิภาพจะมากขึ้นตามความสม่ำเสมอ แม้จะใช้เวลาแค่วันละ 15-20 นาที หากทำต่อเนื่อง ผู้ใช้ส่วนใหญ่จะเริ่มสังเกตเห็นความแตกต่างของตนเองในด้านการฟัง การออกเสียง และความเข้าใจคำศัพท์ภายในระยะเวลาไม่นาน