สวัสดีครับทุกคน! วันนี้อยากมาแชร์ประสบการณ์ตรงๆ กับการลองทำงานกับ Palfish Thailand แบบบ้านๆ เลยนะ ไม่ได้มีสคริปต์อะไรทั้งนั้น เล่าจากที่เจอมาจริงๆ
จุดเริ่มต้นของการลอง Palfish
คือช่วงนั้นว่างๆ ครับ อยากหาอะไรทำเสริม แล้วก็เห็นเพื่อนๆ ในเน็ตพูดถึงแอปสอนภาษาออนไลน์กันเยอะ เลยลองไปส่องๆ ดู Palfish ก็เป็นหนึ่งในตัวเลือกที่เห็นคนไทยพูดถึงบ้าง เลยคิดว่า เอ้อ ลองดูซักตั้งจะเป็นไรไป
ขั้นตอนการสมัครและเตรียมตัว
การดาวน์โหลดและลงทะเบียน:
- ก็เริ่มจากโหลดแอป Palfish มาเลยครับ หน้าตาแอปก็ดูใช้ง่ายดีนะ
- ขั้นตอนการสมัครก็กรอกข้อมูลทั่วไป ชื่อ เบอร์โทร อีเมล อะไรประมาณนั้น
- ที่สำคัญเลยคือต้องเตรียมพวกเอกสารยืนยันตัวตน บัตรประชาชนงี้
- แล้วก็จะมีให้ทำวิดีโอแนะนำตัวเองสั้นๆ อัดเสียงแนะนำตัวด้วยนะ ตรงนี้ก็พยายามทำให้ดูเป็นธรรมชาติที่สุด ผมก็พูดไปเรื่อยเปื่อยเลย ฮ่าๆ
การรออนุมัติ:
หลังจากส่งข้อมูลทุกอย่างไปแล้ว ก็ต้องรอครับ รอให้ทางระบบเค้าอนุมัติ ของผมนี่รอประมาณ…น่าจะอาทิตย์นึงได้มั้ง หรืออาจจะเร็วกว่านั้นหน่อย จำไม่ค่อยได้ละ แต่ก็ไม่ได้นานจนท้อใจ
เริ่มสอนจริงจังกับ Palfish
พอได้รับการอนุมัติปุ๊บ ก็ได้เวลาตั้งค่าโปรไฟล์ตัวเองให้พร้อมสอนละครับ
การตั้งค่าต่างๆ:
- ต้องไปตั้งค่าเวลาที่เราสะดวกสอน อันนี้สำคัญมาก เพราะนักเรียนส่วนใหญ่จะเป็นเด็กจีน เวลาเค้าก็จะต่างจากเรานิดหน่อย
- ตั้งเรทค่าสอนของตัวเอง (สำหรับ Free Talk) ส่วนคอร์สที่เป็น Official Kids Course (OKC) เรทมันจะถูกกำหนดมาแล้ว
- เตรียมรูปโปรไฟล์ดีๆ หน่อย แนะนำให้เป็นรูปที่ดูเป็นมิตร ยิ้มแย้มแจ่มใส
ประสบการณ์การสอน:
ตอนแรกๆ ก็จะงงๆ หน่อยครับ ว่าต้องทำยังไงบ้าง แต่พอได้ลองสอน Free Talk ไปซักพักก็เริ่มเข้าที่เข้าทาง ส่วนใหญ่ที่เจอจะเป็นเด็กๆ น่ารักดีครับ บางคนก็ซนหน่อยตามประสาเด็ก แต่โดยรวมก็สนุกดีนะ
Palfish เค้าจะมีสื่อการสอนมาให้บ้างสำหรับคอร์ส OKC แต่ถ้าเป็น Free Talk นี่คือเราต้องด้นสดเลย อาศัยคุยเล่น ถามคำถาม ชวนคุยไปเรื่อยๆ ให้เด็กได้ฝึกพูดภาษาอังกฤษ
สิ่งที่เจอระหว่างทาง:
- นักเรียนหลากหลาย: มีทั้งเด็กเล็ก เด็กโต บางคนก็เก่งอยู่แล้ว แค่อยากหาคนคุยด้วย บางคนก็ยังพูดไม่ค่อยได้ เราก็ต้องปรับตัวไปตามแต่ละคน
- ปัญหาเทคนิค: อันนี้มีบ้างครับ เน็ตหลุดบ้าง เสียงหายบ้าง ก็ต้องใจเย็นๆ แก้ปัญหากันไป
- การแข่งขัน: ครูในระบบก็เยอะอยู่ครับ ช่วงแรกๆ อาจจะต้องทำใจหน่อยว่างานอาจจะยังไม่เยอะ ต้องค่อยๆ สะสมรีวิวดีๆ ไป
- เรื่องเวลา: อย่างที่บอกว่านักเรียนส่วนใหญ่เป็นเด็กจีน เวลาพีคๆ ของเค้าก็จะเป็นช่วงเย็นๆ หรือวันหยุด ซึ่งอาจจะตรงกับเวลาพักผ่อนของเราพอดี ก็ต้องบริหารจัดการดีๆ
ข้อดีข้อเสียจากประสบการณ์ส่วนตัว
ข้อดีที่ชอบ:
- ความยืดหยุ่น: เลือกเวลาสอนเองได้ ทำงานจากที่ไหนก็ได้ ขอแค่มีเน็ตดีๆ
- ได้ฝึกภาษา: ถึงเราจะสอนภาษาอังกฤษ แต่ก็ได้คุยกับคนต่างชาติจริงๆ ก็เหมือนได้ฝึกตัวเองไปด้วย
- รายได้เสริม: ก็ถือว่าเป็นช่องทางหารายได้เสริมที่ดีช่องทางหนึ่งเลยนะ ถ้าขยันๆ หน่อย
ข้อที่อาจจะต้องพิจารณา:
- รายได้ไม่แน่นอน: ขึ้นอยู่กับจำนวนนักเรียนที่เราได้สอนในแต่ละเดือน บางเดือนเยอะ บางเดือนน้อย
- ต้องแอคทีฟ: ถ้าอยากได้งานเยอะๆ ก็ต้องพยายามโปรโมทตัวเองในแอปบ่อยๆ เข้าไปเช็คตารางสอนเรื่อยๆ
- การหักค่าธรรมเนียม: อันนี้ก็เป็นเรื่องปกติของแพลตฟอร์มตัวกลาง เค้าก็จะมีการหักเปอร์เซ็นต์จากรายได้เราบ้าง
ทำไปสักพัก ก็เริ่มรู้สึกว่า…
เอาจริงๆ นะครับ ทำ Palfish ไปได้ประมาณเกือบปี ผมก็เริ่มรู้สึกว่ามันอาจจะยังไม่ใช่ทางของผมซะทีเดียว คือมันก็สนุกดี ได้เงินด้วย แต่ด้วยความที่ผมมีงานประจำอยู่แล้ว การต้องมาจัดตารางสอนให้ตรงกับเวลาพีคของนักเรียนจีน บางทีมันก็เหนื่อยเอาเรื่องเหมือนกัน แล้วบางช่วงนักเรียนก็น้อยลง ทำให้รายได้มันไม่ค่อยสม่ำเสมอเท่าไหร่
อีกอย่างคือ ผมรู้สึกว่าตัวเองอาจจะไม่ได้ถนัดการสอนเด็กเล็กๆ ขนาดนั้น บางทีก็หมดมุกจะเล่นกับเค้าเหมือนกัน ฮ่าๆ เลยคิดว่าน่าจะเหมาะกับคนที่รักเด็กจริงๆ แล้วก็มีเวลาที่ยืดหยุ่นมากๆ หรือคนที่อยากหารายได้เสริมแบบจริงจัง พร้อมจะทุ่มเทเวลาให้กับการโปรโมทตัวเองในแอปอย่างสม่ำเสมอ
สรุปสั้นๆ จากใจคนเคยลอง
Palfish Thailand ก็เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่ดีนะครับสำหรับคนที่อยากลองสอนภาษาออนไลน์ ข้อดีคือมันเริ่มต้นง่าย ไม่ซับซ้อนมาก แต่ก็ต้องเข้าใจว่ามันก็มีทั้งข้อดีข้อเสียเหมือนงานอื่นๆ นั่นแหละ ไม่ได้สวยหรูไปซะหมด
ถ้าใครสนใจ ผมว่าลองสมัครดูก็ไม่เสียหายครับ ถือว่าเป็นประสบการณ์ อย่างน้อยก็ได้รู้ว่าเราชอบหรือไม่ชอบอะไร แต่อย่าคาดหวังว่ามันจะทำเงินได้เป็นกอบเป็นกำในทันที มันต้องใช้เวลาและความสม่ำเสมอพอสมควรเลยล่ะ
หวังว่าที่เล่ามาทั้งหมดนี้จะเป็นประโยชน์กับเพื่อนๆ ที่กำลังมองหาข้อมูลเกี่ยวกับ Palfish Thailand อยู่นะครับ ทั้งหมดนี้มาจากประสบการณ์ตรงของผมเองล้วนๆ เลยจ้า!