จริง ๆ แล้วกูก็เคยเป็นแบบพวกมึงนะ คือทุกวันนี้เห็นฝรั่งทีไรหัวร้อนทุกที เจอแม่งที่เซเว่นก็แอบเดินหลบ ยิ่งไปเที่ยวพัทยาครั้งก่อน นั่งสั่งอาหารอยู่ตรงนั้น นี่แม่งเรียกพนักงานกูยังเรียกไม่เป็นเลย
เริ่มต้นแบบพังๆ
วันแรกที่กูตื่นขึ้นมาก็ฮึดสู้ ไปร้านหนังสือซื้อหนังสือภาษาอังกฤษมาทั้งกอง ทั้งพวกคำศัพท์เล่มหนาทึบ แกรมมาร์สีเขียวๆนั่นแหละ พอกลับมาถึงบ้านก็แบบ…เปิดมากลางเล่มหน้า 50 โอ้ยแม่งทำไมศัพท์มันยาวๆทั้งนั้นเลย ไม่ยักรู้เรื่องเลยแม้แต่คำเดียว หนังสือเนี่ยแบบเถาวัลย์กองอยู่ข้างเตียงอาทิตย์นึง
- ทำแบบนี้ไม่รอดแน่ๆ : นั่งท่องศัพท์วันละ 30 คำ ตื่นเช้ามากดันจำได้แค่ apple กับ cat
- ของแบบนี้ต้องใช้จริงสิเว้ย : ไปนั่งดู YouTube การ์ตูนฝรั่งทั้งคืน สุดท้ายหลับคีย์บอร์ดไปสามครั้ง
- คิดมากไปก็พัง : นั่งคิดอยู่ตั้งนานว่าควรเรียนเรื่อง present simple ก่อนหรือ past tense ก่อน ลงเอยด้วยการปิดหนังสือไปนอน
หักดิบเลิกคิดเยอะ
เช้าวันเสาร์นั่นเอง ป๊าแวะซื้อข้าวเหนียวหมูปิ้ง แม่ค้าทักกูเป็นภาษาอังกฤษว่า “want spicy?” ตอนนั้นกูแม่งรีบตอบตะกุกตะกักว่า “ไอ…ไอ…เอ่อ…yes please!!” ทั้งที่ปกติกินรสกลางซะส่วนใหญ่ พอได้ยินตัวเองพูดออกไป รู้สึกเหมือนไฟในตัวมอดกะทันหัน แต่ความอยากกินหมูปิ้งมันชนะครับ ตอนนั้นจึงฟังๆเอาจากปากแม่ค้าเลย
จากวันนั้นกูเลยตั้งกฎตัวเองง่ายๆแค่ 2 ข้อ :
- ท่องคำศัพท์ประจำวันลดเหลือวันละ 5 คำ โดยต้องเป็นคำที่กูเจอในชีวิตจริง เช่น เวลาขึ้นรถไฟฟ้าเห็นป้าย “exit” หรือเวลาไปร้านสเต็กเห็นเมนูว่า “medium rare”
- พยายามพูดสัก 1 ประโยคต่อวัน เริ่มจากคนที่เอาอยู่ก่อนเลย คือพี่保安หน้าคอนโดกับร้านก๋วยเตี๋ยวตีนสะพานที่กูไปประจำนั่นแหละ แรกๆก็แค่ “this one…how much?” หรือ “take away please!” นี่แหละถือว่าสุดยอดแล้ว
ที่สุดกูก็เอาแหล่ะ
สองอาทิตย์ต่อมามันมีจุดเปลี่ยนแปลงแบบไม่น่าเชื่อ ตอนนั้นต้องไปส่งเอกสารที่เทสโก้ ลิฟท์เต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวต่างชาติ กูยืนจ่อๆอยู่ชั้น 4 นี่แหละ จู่ๆก็มีฝรั่งมาถามทาง “Which floor for food court?” เงิบครึ่งวิ สมองกูดึงศัพท์มาจากไหนไม่รู้ตอบไปแบบฉับพลัน “Uh…fourth…go down…here!” ทั้งที่ประโยคก็พังๆ ไวยากรณ์นี่ไม่ต้องพูดถึง แต่ฝรั่งแม่งยิ้มแล้วก็ขอบใจด้วยนะเว้ย

ปัจจุบันก็ยังพูดแบบกระยองกระแยงอยู่นะ แต่เลิกกลัวการพูดลงแล้ว ใครอยากเริ่มแบบกูแนะนำง่ายๆตามนี้เลย:
- หาแอพฟรีๆพวกที่ช่วยออกเสียง ส่องกระจกเวลาทำเสียงแล้วแอบอัดตัวเองไว้ฟังทีหลังว่าตัวเองพูดว่า “apple” หรือ “อาเป้ง”
- ฝากท้องไว้ที่ร้านอาหารที่เป็นจุดท่องเที่ยว บางร้านเขาเจอฝรั่งจนชินแล้ว แม่ค้าจะช่วยแก้ให้ถ้าพูดผิด
- ใช้ของรอบตัวเป็นตัวช่วย เช่น เวลาขึ้นมอเตอร์ไซค์วินก็ดูป้ายหลังคานักท่องที่ว่า “slow down” หรือ “hold on” เอามาเขียนลงสมุดโน้ตที่กูพกติดไว้
ตอนนี้พอได้ภาษาแล้วลูกชายกูยิ่งอินจัด มาชวนคุยกับฝรั่งเวลาเจอตอนขึ้นลิฟท์ “hello! where you go?” แรกๆพ่อแทบแย่ อย่างน้อยก็ไม่เหมือนอดีตพ่อที่เคยเดินเก็บตัวแล้วหลบตาทุกครั้งเหมือนตอนต้นปี