สัปดาห์ที่แล้วนั่งดูยูทูบแล้วเกิดอาการอิจฉาคนที่พูดภาษาอังกฤษคล่องเปรี๊ยะ เลยนึกสนุกเปิดแอพหาตั๋วเครื่องบินโลด โผล่ไปเมืองนอกแบบด่วนๆ หวังว่าจะได้ภาษาอังกฤษติดตัวกลับมาบ้าง
เริ่มจากหาบ้านเช่าก่อนเลย
แรกๆกะจะประหยัดงบ เลยหาหอพักนักศึกษาผ่านเฟซบุ๊ก ตอนคุยในแชทนี่โอเคนะ พอไปถึงที่แท้…ห้องเล็กกว่าเล้าของไก่! แถมห้องน้ำติดเพื่อนบ้านชาวเวียดนามที่ชอบตะโกนด่าใครไม่รู้ตอนเที่ยงคืน อยู่ได้สามวันทนไม่ไหว หนีไปเช่าหอใหม่แบบจ่ายแพงกว่าเดิมสองเท่า ดีไม่ดีตอนยกกระเป๋ามาตั้งทีหลังแทบแขนหัก
ชีวิตนอกตำรา
คิดว่าอยู่เมืองนอกแล้วจะเก่งเองเลยไม่ลงคอร์สเรียน ผลคือสัปดาห์แรกรู้คำศัพท์เพิ่มแค่ “water-no-sugar” กับ “toilet-where” เวลาฟังฝรั่งพูดเร็วๆนี่เหมือนได้ยินแต่เสียงผึ้งหึ่งๆ จำได้วันนึงเดินหลงในห้าง อยากถามทางแต่พูดไม่ออก สุดท้ายยืนร้องไห้ตรงป้ายรถเมล์เลยนะเนี่ย
-
อุปกรณ์ติดตัวที่จำเป็นที่สุด:
- โน๊ตบุ๊คเก่าตั้งแต่สมัยเรียน (เปิด谷歌翻译ได้ก็พอ)
- สมุดสีชมพูเจ้าเดิม (จดศัพท์วันละสิบคำก็ยังลืมเก้า)
- หูฟังรุ่นถูกๆ (ฟังเพลงเอาฮึกแต่เอาไว้แกล้งทำเป็นฟังไม่เข้าใจเวลาคนขายของพยายามอธิบาย)
- ขนมไทยๆติดกระเป๋า (วันที่อาหารท้องถิ่นทำเอาท้องเสีย)
เริ่มปรับตัวได้ก็เพราะแม่ค้าตลาดสดนั่นแหละ! วันแรกไปยืนจ้องมะม่วงน้ำดอกไม้เป็นสิบนาที แม่ค้าเห็นท่าไม่ดีก็ชวนคุย ช่วงนั้นทักษะการฟังพัฒนารวดเร็วเพราะต้องคอยเดาใจว่าต้องการให้เราซื้อไหม “this…no…wait…that…yellow…sweet?” พูดขัดๆคัดๆแต่แม่ค้าช่วยต่อประโยคให้ ตอนนี้กลายเป็นเพื่อนกันแล้ว แถมได้เรียนศัพท์แปลกๆแบบไม่เป็นทางการด้วย เช่น “มะม่วงนี่ลูกดกเหมือนลูกเธอว่ะ” – อันหลังนี่อย่าไปจำนะ!
เรียนจากความอาย
สัปดาห์ที่สามตัดสินใจทำสิ่งที่ขี้เกียจจนสุด คือนั่งดูการ์ตูน Disney ภาคไทยซับอังกฤษ! ตอนแรกอายตัวเองมาก แต่พอเริ่มจับทางได้ว่า “ฝรั่งเรียกเก้าอี้ว่าชายร์” นี่มันง่ายชะมัด (อย่าเพิ่งเชียร์นะ รู้ทีหลังว่าผิด!เก็บไปแก้ในสมุดชมพูอีก)
วันดีคืนดีมีเหตุการณ์ตื่นเต้น ตอนนั่งรถไฟฟ้าไปเที่ยวแล้วเจอฝรั่งหัวทองถามทางแบบกระทันหัน อุตส่าห์ตั้งใจฟังจนหน้าแดง สุดท้ายพยักหน้าหงึกๆแล้วชี้นิ้วไปทาง…กำแพงตึก! ดีที่เพื่อนร่วมทางหัวเราะแล้วพาไปส่งที่ป้ายถูกต้อง เลยกลายเป็นเพื่อนใหม่ไปอีกคน แกยังบอกอีกว่า “I like your brave wrong answer!” นี่ล่ะจุดเปลี่ยน พอเริ่มไม่กลัวความผิด กล้าเปิดปากทักทายคนแปลกหน้าบ้าง แม้จะพูดสลับประโยคไทย-อังกฤษแบบมั่วๆ เช่น “I อยากกินข้าว now”
ตอนนี้กลับมาบ้านพอได้ศัพท์ติดตัวประมาณสองร้อยคำ แกรมม่ายังรวนๆ แต่ถ้าพูดช้าๆพร้อมทำท่าประกอบเยอะๆ คนฟังจะเข้าใจ…บ้าง! ที่ได้มากกว่าภาษาคือความมั่นใจ ไม่กลัวการออกเสียงเพี้ยนแล้ว เพราะสุดท้ายฝรั่งเขาก็พยายามเข้าใจเรานะ ถ้าเราไม่ยอมอายไปก่อน ครั้งหน้าอยากลองไปชนบทให้ได้คุยกับคนแก่ๆ บอกว่า accent จะได้จัดเต็มกว่า!
ปล. ตอนจบอันเจ๋งคือเปิดกระเป๋าเจอยาไทยที่เอาไปเปิบระหว่างอยู่โน่น…นั่นสิ คำว่า “ยาลดกรด” นี่ฝรั่งเรียกไงอีกล่ะ?!