ก็เลยตัดสินใจสมัครคอร์สเรียนออนไลน์ภาษาอังกฤษซักที เหตุผลก็ง่ายๆ เลยครับ คือเดินไปไหนก็ต้องเจอแต่คำศัพท์ฝรั่งเต็มไปหมด แม้แต่ลูกชายก็เริ่มท่อง A B C ใส่หน้าฉันทุกเช้า เลยรู้สึกว่าตัวเองตามโลกไม่ทันแล้ว
เริ่มจากเปิดกูเกิลหาแบบมั่วๆ ไปก่อน พิมพ์ไปว่า “เรียนภาษาอังกฤษออนไลน์” แล้วมันขึ้นมามากมายเป็นร้อยลิงก์ ยิ่งดูยิ่งงงใหญ่เลยครับ เพราะแต่ละที่บอกว่า:
- เก่งเร็วภายใน 7 วัน! → เอ้าเวอร์ไปป่าว
- เรียนกับครูเจ้าของภาษา! → เขาเข้าใจปัญหาคนไทยรึเปล่าเนี่ย
- รับรองผลคะแนนสอบ! → นี่ฉันแค่จะคุยกับแอป delivery ได้ก็บุญแล้ว…
ใช้เวลาทั้งบ่ายนั่งเปรียบเทียบ จนตาลายไปสองวัน สุดท้ายเลือกที่ดูปกติที่สุดเพราะเห็นเขามี ให้ทดลองเรียนฟรีก่อน 1 คลาส แค่นี้ก็อุ่นใจแล้วครับ กดชำระเงินผ่านธนาคารออนไลน์มันก็เจ๊งไปสองรอบ รอหน้าโหลดตายไปสามครั้ง ถึงได้ลงทะเบียนสำเร็จ ได้ลิงก์ห้องเรียนกับรหัสนักเรียนทางเมลแบบมึนๆ
เปิดคลาสแรกกับอาการเซ็งพาเหรด
วันแรกนัดสิบโมงเช้า ฉันเตรียมสมุดปากกา น้ำดื่ม คอมพิวเตอร์ ไว้พร้อมหน้าเจ็ด แล้ว เข้าห้องเรียนทีไร…เซิร์ฟเวอร์ล่ม! รอจนสิบโมงยี่สิบครูไทยคนสอนถึงจะแจ้งว่าให้ลองรีเฟรชเบราว์เซอร์ เปิดเข้าใหม่ทีนี้พอได้ ปัญหาคือเสียงครูขาดหายเป็นช่วงๆ เหมือนฟังคนพูดตอนสัญญาณมือถืออ่อน เลยได้ยินแค่บางคำว่า “Hello… students… today… grammar…” แล้วก็เงียบหายไปอีก
เจอปัญหาคือ เรียนกันสองชั่วโมงแต่ความรู้ที่ได้ไม่ถึงกำมือ พอครูให้ฝึกพูดตามด้วยไมค์ตัวเอง เปิดไมค์ทีไรหมาที่บ้านเห่าหอนตามทุกที ครูให้ท่อง “How are you?” พอถึงคำว่า “I’m fine.” ลูกชายวิ่งมาแจมว่า “ไอ้หนูฟาย!” ซะงั้น หมดคาบมาก็เครียดแทนที่สมองจะได้ความรู้
อาศัยตู้เย็นช่วยจำศัพท์
รู้ตัวเลยว่า ถ้าพึ่งแต่คอร์สอย่างเดียวไม่รอด เลยคิดวิธีประยุกต์แบบบ้านๆ เริ่มจากเอาป้าย Post-it ติดตู้เย็นหมดแผ่น ด้านซ้ายเขียนคำศัพท์ภาษาอังกฤษ ป้ายขวาเขียนภาษาไทยแบบตรงๆ ที่ฉันเข้าใจเอง เช่น:
- Refrigerator → ตู้ใส่ของเย็น
- Egg → ไข่เจียว
- Hurry up! → เปิดให้เร็วๆ วะ!
ทุกครั้งที่เปิดตู้เย็นเอาข้าว ก็ต้องอ่านป้ายพวกนี้จนเริ่มชินตา ตอนนี้ลูกชายยังมานั่งท่องตามตัวใหญ่ “รี้-ฟิด-จี-เร-เท่อรร์!” ด้วยน้ำเสียงแหบๆ แถมเอากากบาทแดงมาติดเพิ่มบนป้ายที่อ่านผิดประจำ แบบนี้ไม่รู้ใครเรียนกับใครกันแน่
สรุปหลังจากเรียนมากว่าเดือน: คอร์สออนไลน์มันก็เป็นแค่เครื่องมือหนึ่ง ถ้าอยากให้เวิร์กต้องเอาความรู้มาเชื่อมกับชีวิตประจำวันเอง บางวันเซ็งก็ต้องทนเซิร์ฟเวอร์ล่ม บางวันขี้เกียจก็ต้องบังคับตัวเองเปิดคอม เพราะพอจ่ายเงินไปแล้วมันก็เหมือนผูกคอตัวเองไว้กับหน้าจอนั่นแหละครับ ได้แค่สู้ต่อ! สุดท้ายนี้ถ้ามีใครเดินมาถามว่า “How are you?” ตอนนี้คงยิ้มตอบได้แล้วว่า “ครบ 32 บาทครับ!” (อันนี้ก็ยังฝึกต่อนะ)