สวัสดีครับทุกคน วันนี้อยากจะมาแชร์ประสบการณ์ตรงของผมกับการเรียนภาษาอังกฤษผ่านแอปที่ชื่อว่า Palfish นะครับ เรื่องของเรื่องคือผมอยากจะฝึกพูดภาษาอังกฤษให้มันคล่องๆ หน่อย เพราะรู้สึกว่าจำเป็นมากๆ ในยุคนี้ ไม่ว่าจะเรื่องงานหรือเรื่องเที่ยวก็ตาม
จุดเริ่มต้นและการตัดสินใจ
ตอนแรกเลยเนี่ย ผมก็ลองหาข้อมูลหลายๆ ที่นะว่าจะเรียนที่ไหนดี สถาบันเหรอ? ก็ดูจะเสียเวลาเดินทาง แถมราคาก็เอาเรื่องอยู่เหมือนกัน จนไปเจอรีวิวแอป Palfish เนี่ยแหละ เห็นว่ามันเรียนกับครูต่างชาติได้โดยตรงผ่านมือถือเลย เออ…น่าสนใจดีแฮะ มันดูสะดวก ไม่ต้องไปไหน
ผมก็เลยตัดสินใจดาวน์โหลดแอปมาลองดูครับ ตอนแรกก็งงๆ หน่อยนะ หน้าตามันก็มีอะไรให้เล่นเยอะแยะไปหมด มีทั้งครูเจ้าของภาษา ครูฟิลิปปินส์ ราคาก็แตกต่างกันไป ผมก็เริ่มจากลองดูโปรไฟล์ครูแต่ละคนก่อนเลย ดูว่าเขาสอนแนวไหน มีรีวิวจากคนอื่นว่ายังไงบ้าง
ขั้นตอนการลองผิดลองถูก
ช่วงแรกๆ นี่บอกเลยว่าใช้คูปองทดลองเรียนฟรีเป็นหลักเลยครับ ฮ่าๆ ก็อยากจะลองให้รู้เรื่องก่อนว่ามันเวิร์คจริงไหม ผมลองเรียนกับครูหลายคนมากครับ บางคนก็ดีมาก สอนสนุก เข้าใจง่าย แต่บางคนก็อาจจะยังไม่ค่อยคลิกกับสไตล์การสอนของผมเท่าไหร่ อันนี้เข้าใจได้นะ มันเป็นเรื่องปกติ
สิ่งที่ผมทำคือ:
- เลือกครูจากเรทติ้งและรีวิวเป็นหลัก
- ลองเรียนกับครูฟิลิปปินส์ก่อน เพราะราคาค่อนข้างเป็นมิตร แล้วก็เน้นคุยเรื่องทั่วๆ ไป ให้ชินกับการพูด
- พอเริ่มมั่นใจขึ้นมาหน่อย ก็ลองขยับไปเรียนกับครูเจ้าของภาษาบ้าง เพื่อปรับสำเนียงและเรียนรู้ศัพท์สแลงใหม่ๆ
- ผมพยายามจะจองคลาสเรียนช่วงเย็นๆ หลังเลิกงาน หรือไม่ก็วันเสาร์อาทิตย์ มันจะได้ไม่กระทบกับงานประจำ
ช่วงแรกๆ ก็มีตะกุกตะกักบ้างแหละครับ พูดผิดพูดถูก ครูเขาก็จะช่วยแก้ไขให้ ทำให้เรากล้าพูดมากขึ้น ไม่ต้องกลัวผิด ผมรู้สึกว่าการได้คุยกับคนจริงๆ นี่มันช่วยได้เยอะกว่าการนั่งท่องจำแกรมม่าเฉยๆ เยอะเลย
สิ่งที่สังเกตเห็นและสิ่งที่ได้เรียนรู้
หลังจากใช้ Palfish มาสักพักใหญ่ๆ เนี่ย ผมสังเกตเห็นว่าครูแต่ละคนก็มีเทคนิคการสอนไม่เหมือนกันจริงๆ บางคนเน้นฟรีทอล์ค บางคนมีสไลด์ มีเนื้อหามาสอนเป็นเรื่องเป็นราว ซึ่งเราต้องเลือกให้เหมาะกับสิ่งที่เราอยากได้จริงๆ
ผมพบว่าการเตรียมตัวก่อนเรียนนิดหน่อย เช่น คิดหัวข้อที่จะคุย หรือคำศัพท์ที่อยากจะลองใช้ มันช่วยให้การเรียนมีประสิทธิภาพมากขึ้นเยอะเลย ไม่ใช่แค่รอให้ครูชวนคุยอย่างเดียว
แล้วก็เรื่องเวลาเรียน ผมค้นพบว่าเรียนครั้งละ 25 นาที มันกำลังดีนะ ไม่นานไม่สั้นเกินไป ทำให้เรามีสมาธิอยู่กับการเรียนได้ตลอดคลาส
ข้อดีที่ผมเห็นชัดๆ เลยคือ:
- ความสะดวกสบาย: เรียนที่ไหน เมื่อไหร่ก็ได้ แค่มีมือถือกับอินเทอร์เน็ต
- ความยืดหยุ่น: เลือกครู เลือกเวลาเรียนได้เอง
- การได้ฝึกพูดจริง: อันนี้สำคัญสุด ทำให้กล้าพูดมากขึ้นเยอะ
แน่นอนว่ามันก็มีบางครั้งที่สัญญาณอินเทอร์เน็ตอาจจะไม่ค่อยดีบ้าง หรือครูบางคนอาจจะแคนเซิลคลาสกระทันหันบ้าง แต่มันก็เป็นส่วนน้อยนะ โดยรวมแล้วประสบการณ์ของผมค่อนข้างโอเคเลย
ผลลัพธ์ที่ได้และความรู้สึกส่วนตัว
ถ้าถามว่าภาษาอังกฤษผมดีขึ้นไหม? ผมกล้าพูดเลยว่าดีขึ้นครับ อาจจะไม่ได้เก่งเทพอะไรขนาดนั้น แต่ที่แน่ๆ คือผมกล้าพูดมากขึ้น ฟังเข้าใจมากขึ้นเยอะ เวลาดูหนังฝรั่งแบบไม่เปิดซับไทยก็พอจะรู้เรื่องบ้างแล้ว

ที่สำคัญคือมันสร้างความมั่นใจให้ผมพอสมควรเลยนะ จากเมื่อก่อนที่ไม่กล้าอ้าปากพูดเลย กลัวผิด กลัวโดนหัวเราะ ตอนนี้คือชิลล์ๆ พูดไปเลย ผิดก็แก้กันไป
สรุปแล้ว สำหรับผม Palfish ก็เป็นอีกเครื่องมือหนึ่งที่ช่วยให้ผมได้ฝึกฝนภาษาอังกฤษได้จริงจังมากขึ้น มันอาจจะไม่ได้เหมาะกับทุกคนนะครับ เพราะสุดท้ายแล้วการเรียนภาษามันก็ต้องอาศัยความพยายามและความสม่ำเสมอของตัวเราเองเป็นหลัก แต่ถ้าใครกำลังมองหาตัวช่วยในการฝึกพูด ผมว่ามันก็เป็นตัวเลือกที่น่าลองดูครับ
วันนี้ก็ประมาณนี้แหละครับที่อยากจะมาแชร์ให้ฟัง หวังว่าจะเป็นประโยชน์กับเพื่อนๆ ที่กำลังสนใจอยากจะพัฒนาภาษาอังกฤษของตัวเองกันอยู่นะครับ