สวัสดีครับทุกคน วันนี้อยากมาแชร์ประสบการณ์ตรงๆ กับการให้ลูกเรียนภาษาอังกฤษกับ Palfish ครับ เรื่องของเรื่องคือตอนนั้นลูกผมก็ยังเล็กๆ อยู่เลย ประมาณ 4-5 ขวบ กำลังอยากให้เค้าได้เริ่มคุ้นเคยกับภาษาอังกฤษบ้าง แต่ก็ไม่อยากให้เครียดแบบเรียนจ๋า เลยลองหาข้อมูลดูว่ามีแอปอะไรน่าสนใจบ้าง จนไปเจอ Palfish นี่แหละครับ เห็นรีวิวก็มีทั้งดีทั้งเฉยๆ เลยตัดสินใจว่า เอ้า! ลองดูสักตั้ง จะได้รู้กันไปเลย
เริ่มต้นใช้งาน Palfish
ผมก็เริ่มจากโหลดแอป Palfish มาลงในแท็บเล็ตก่อนเลยครับ เปิดแอปมาครั้งแรกก็ดูมีอะไรให้เลือกเยอะดีนะ มีทั้งแบบเรียนกับครูโดยตรง มีพวกหนังสือภาพ (picture books) ให้อ่านฟรีด้วย ตอนแรกก็งงๆ นิดหน่อยว่าจะเริ่มตรงไหนดี แต่ก็ลองกดๆ จิ้มๆ ดูไปเรื่อยๆ ครับ
สิ่งที่ผมสนใจหลักๆ เลยคือการเรียนสดกับครู ผมก็เข้าไปดูโปรไฟล์ครูครับ โอ้โห มีให้เลือกเยอะมาก มีทั้งครูเจ้าของภาษา (Native Speakers) พวกครูจากอเมริกา อังกฤษ แคนาดา แล้วก็มีครูฟิลิปปินส์ด้วย ราคาก็จะแตกต่างกันไป ครูเจ้าของภาษาก็จะราคาสูงหน่อย ผมก็ลองดูรีวิวของครูแต่ละคน ดูว่าสไตล์การสอนเป็นยังไง มีคนคอมเมนต์ว่าอะไรบ้าง
ประสบการณ์การเรียนจริงจัง
หลังจากส่องโปรไฟล์ครูอยู่พักใหญ่ ผมก็ตัดสินใจลองจองคลาสเรียนดูครับ ตอนนั้นมีโปรโมชั่นสำหรับคลาสทดลองเรียนด้วยนะ ราคาก็ไม่แรงมาก ผมเลือกจองกับครูฟิลิปปินส์ก่อนเลย เพราะเห็นว่าราคาค่อนข้างเป็นมิตร แล้วก็อยากลองดูว่าคุณภาพการสอนเป็นยังไง
ขั้นตอนการจอง ก็ไม่ยุ่งยากครับ เลือกครู เลือกวันเวลาที่ว่าง แล้วก็จ่ายเงินผ่านแอปได้เลย พอถึงเวลาเรียน แอปก็จะแจ้งเตือนเรา
พอถึงคาบเรียนแรก ลูกผมก็ตื่นเต้นนิดหน่อย ผมก็นั่งอยู่ข้างๆ คอยให้กำลังใจ ครูเค้าก็จะทักทาย ชวนคุย ส่วนใหญ่บทเรียนสำหรับเด็กเล็กก็จะเป็นการ์ตูนสีสันสดใส มีเพลง มีเกมง่ายๆ ให้เล่นไปด้วยระหว่างเรียน อย่างเช่น ลากเส้นจับคู่คำศัพท์กับรูปภาพ หรือตอบคำถามง่ายๆ จากนิทานที่ครูเล่าให้ฟัง
ผมลองให้ลูกเรียนกับครูหลายคนเหมือนกันครับ ทั้งครูฟิลิปปินส์และครูเจ้าของภาษา อยากให้เค้าได้เจอสำเนียงที่หลากหลาย
- ครูฟิลิปปินส์: ส่วนใหญ่จะใจเย็น พูดชัดเจน เข้าใจง่าย และค่อนข้างแอคทีฟ ชวนคุยเก่ง ทำให้ลูกไม่ค่อยเกร็ง
- ครูเจ้าของภาษา: สำเนียงเป๊ะแน่นอนครับ แต่บางทีครูบางคนอาจจะพูดเร็วนิดนึงสำหรับเด็กเล็ก แต่ข้อดีคือลูกจะได้ฟังสำเนียงจริงๆ เลย
บทเรียนใน Palfish ส่วนใหญ่จะเป็นแบบสำเร็จรูปมาแล้วครับ ครูเค้าก็จะสอนไปตามสไลด์ แต่ครูเก่งๆ บางคนก็จะมีการปรับเปลี่ยนหรือเสริมกิจกรรมอื่นๆ เข้ามาบ้างเพื่อให้มันสนุกขึ้น คาบนึงก็ประมาณ 25 นาที ซึ่งผมว่ากำลังดีสำหรับเด็กเล็ก สมาธิเค้าจะได้ไม่หลุดไปซะก่อน
ข้อดีข้อเสียจากที่ลองใช้จริง
จากที่ให้ลูกเรียนมาสักพักใหญ่ๆ ก็พอจะสรุปข้อดีข้อเสียตามความเห็นส่วนตัวของผมได้ประมาณนี้ครับ
ข้อดีที่ชอบมากๆ:
- ความสะดวก: อันนี้คือดีสุดๆ ไม่ต้องเสียเวลาเดินทางไปเรียนพิเศษข้างนอก อยู่บ้านก็เรียนได้เลย เลือกเวลาเรียนได้ค่อนข้างยืดหยุ่น
- การได้เจอเจ้าของภาษา: ถึงแม้จะเรียนกับครูฟิลิปปินส์เป็นหลัก แต่ก็มีโอกาสให้ลูกได้ลองเรียนกับครูเจ้าของภาษาบ้าง ทำให้เค้าคุ้นเคยกับสำเนียงจริงๆ
- สื่อการสอนน่าสนใจ: พวกหนังสือภาพ เพลง หรือเกมในบทเรียน ค่อนข้างดึงดูดความสนใจเด็กได้ดี ลูกผมชอบดูรูปภาพสีๆ ครับ
- ครูบางคนเก่งจริง: อันนี้ต้องเลือกดีๆ ครับ ครูบางคนมีเทคนิคการสอนที่ดี ทำให้เด็กรู้สึกสนุกและอยากเรียนรู้
ข้อเสียที่เจอมาบ้าง:
- ค่าใช้จ่าย: ถ้าเรียนต่อเนื่องหลายคลาส ราคาก็เอาเรื่องอยู่เหมือนกันครับ โดยเฉพาะถ้าเลือกเรียนกับครูเจ้าของภาษาบ่อยๆ ต้องวางแผนงบดีๆ
- ความสม่ำเสมอของครู: บางทีครูที่เราชอบคิวเต็ม หรือบางครั้งครูอาจจะมีธุระต้องยกเลิกคลาสบ้าง (แต่ก็ไม่บ่อยเท่าไหร่) ทำให้ต้องหาครูใหม่
- สัญญาณอินเทอร์เน็ต: อันนี้เป็นปัจจัยภายนอกครับ บางทีเน็ตบ้านเราไม่เสถียร หรือสัญญาณทางฝั่งครูมีปัญหา ก็อาจจะทำให้ภาพกระตุก เสียงขาดๆ หายๆ ได้บ้าง แต่ก็เป็นส่วนน้อย
- ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับเด็กด้วย: บางวันลูกอารมณ์ดีก็อยากเรียน อยากตอบ แต่บางวันงอแงก็ไม่ค่อยให้ความร่วมมือเท่าไหร่ อันนี้พ่อแม่ต้องเข้าใจธรรมชาติของเด็กครับ
สรุปแล้ว Palfish ดีไหม?
ถ้าถามผมว่าเรียน Palfish ดีไหม ผมว่ามันก็เป็นเครื่องมือที่ดีอย่างหนึ่งเลยนะครับ โดยเฉพาะสำหรับเด็กเล็กที่เพิ่งเริ่มต้นเรียนภาษาอังกฤษ มันช่วยให้เค้าได้คุ้นเคยกับภาษาแบบไม่เครียด ได้ฟังสำเนียงที่หลากหลาย และได้ฝึกพูดโต้ตอบบ้าง
ลูกผมหลังจากเรียนไปสักพัก ก็เริ่มมีคลังคำศัพท์ง่ายๆ เพิ่มขึ้น กล้าพูดคำศัพท์ภาษาอังกฤษมากขึ้น แม้จะยังเป็นคำๆ หรือประโยคสั้นๆ ก็ตาม สิ่งสำคัญที่ผมเห็นคือ เค้าไม่กลัวที่จะพูดภาษาอังกฤษกับคนแปลกหน้า (ครู) ซึ่งผมว่านี่เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีมากๆ เลยครับ
คำแนะนำส่วนตัว:
ถ้าพ่อแม่คนไหนกำลังมองหาตัวช่วยให้ลูกเริ่มเรียนภาษาอังกฤษแบบสนุกๆ ไม่เน้นวิชาการจ๋าๆ Palfish ก็เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจครับ แต่ก็ต้องเข้าใจว่ามันไม่ใช่ยาวิเศษที่เรียนแล้วจะเก่งปร๋อได้ทันที ต้องอาศัยความสม่ำเสมอ และการสนับสนุนจากพ่อแม่ด้วย
ลองเริ่มจากคลาสทดลองเรียนก่อนก็ได้ครับ ดูว่าลูกชอบไหม ครูสอนโอเคหรือเปล่า แล้วค่อยตัดสินใจว่าจะไปต่อยังไง ที่สำคัญคืออย่าไปกดดันลูกมากครับ ให้เค้าเรียนรู้ไปตามวัยของเค้า สนุกกับมัน นั่นแหละดีที่สุดแล้วครับ
นี่ก็เป็นประสบการณ์ตรงของผมกับ Palfish นะครับ หวังว่าจะเป็นประโยชน์กับพ่อแม่ท่านอื่นๆ ที่กำลังสนใจอยู่บ้างไม่มากก็น้อยครับผม!